กรกฎาคม 16, 2023

หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต ยกตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 3

หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต ยกตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 3

ซึ่งในปี 1848 ฝรั่งเศสกลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งและได้เรียกช่วงนี้ว่าสาธารณรัฐที่ 2 สำหรับสาธารณรัฐที่ 2 เริ่มต้นในปี 1848 ก็เริ่มต้นระบอบสาธารณทั่วไปก็คือมีการเลือกตั้งโดยมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงด้วยโดยผู้ที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจเป็นประธานาธิบดีเป็นระบอบประชาธิปไตยในครั้งนั้น หลุยส์นโปเลียน โบนาปาร์ต หลายคนตั้งคำถามแล้วเป็นอะไรกับนโปเลียน โบนาปาร์ตหรือเปล่า

ดังนั้นแล้วเขาเป็นหลานชาย นโปเลียน โบนาปาร์ต นั่นเองเบื้องต้นเขาได้รับเสียงจากประชาชนในการเลือกให้เป็นประธานาธิบดีหลังจากที่ได้รับตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาได้มีการทำประชามติโดยประชามติในครั้งนี้มีใจความก็คือต่อขยายช่วงหรือว่าวาระในการเป็นประธานาธิบดียาวนานถึง 10 ปี 

นอกเหนือไปจากนี้ยังใช้กลไกลตามรัฐธรรมนูญในการยุบสภาประชาชนในครั้งนั้นแต่หลังจากนั้นเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต

เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองด้วยตนเองโดยการยกตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ถือเป็นการสิ้นสุดของสาธารณรัฐที่ 2 และไปสู่จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2 ว่าง่ายๆประมุกแห่งรัฐยังเป็นคนเดิม

แต่เปลี่ยนแปลงจากระบอบสาธารณรัฐและเป็นประธานาธิบดีกลายมาเป็นพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 นั่นเองในช่วงเวลาดังกล่าวกินเวลายาวนาน 18 ปี 1852 – 1870 ถ้าหากเราพลิกปฏิทินกันแล้วจะพบว่าในช่วงดังกล่าวก็จะตรงกันกับช่วงต้นถึงกลางของกรุงรัตนโกสินทร์

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่มหาอำนาจโลกยุโรปไม่ว่าจะเป็นอันอังกฤษก็ดี ฝรั่งเศสก็ดี    หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต      มีการสั่งสมกำลังพลเอาไว้เพื่อที่จะเดินหน้าในการหาอาณานิคมในพื้นที่ที่ตัวเองต้องการข้าไปยึดครองไม่ว่าจะเป็นแอฟริกาหรือว่าในเอเชียก็ตามแต่แต่แม้ว่า นโปเลียนนั้นจะรวบอำนาจได้เป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปีด้วยกัน

แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวยุโรปหลายประเทศเริ่มตระหนักแล้วว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนโปเลียนที่ 1 ขึ้นมาอีกครั้งนึงมีความหมายว่าทุกๆประเทศอาจจะต้องเจอปัญหาต่อสู้กันกับฝรั่งเศษอีกครั้งนึงหลายประเทศในยุโปรรวมถึงรัสเซียก็คือเยอรมันนั่นแหละ

จึงได้มีความพยายามในการที่จะรวบรวมอาณาจักรต่างๆที่พูดภาษาเยอรมันให้เป็นประเทศเดียวกันพบว่าแผนการในการรวมชาติของเยอรมันในครั้งนี้นั้นมีพื้นที่ทับซ้อนซึ่งฝรั่งเศษเองก็ต้องการครอบครองอยู่ไม่ว่าจะเป็นหรือบ้างส่วนของออสเตรียฮังการีทำให้ทั้งสองชาตินี้ประกาศสงครามซึ่งกันและกัน

ซึ่งเราเรียกสงครามในครั้งนั้นว่าสงครามฝรั่งเศสเยอรมัน ณ. เวลานั้นทั่วยุโรปและทั่วโลกเชื่อกันแบบนั้นกำลังของจักรวรรดิฝรั่งเศสนั่นแข็งกล้ามากเพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้ว่าฝรั่งเศษน่าจะกลายเป็นผู้ชนะแต่ยิ่งรบไปด้วยความแข็งแกร่งของอาณาจักรรัสเซียทำให้กองทัพฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในหลากหลายสมรภูมิ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    สล็อตpgใหม่ล่าสุด

ประวัติ ประเพณี วัฒนธรรม
อดีต-ปัจจุบัน