กุมภาพันธ์ 7, 2022

วัฒนธรรมการสักของชาวเอเชีย

วัฒนธรรมการสักของชาวเอเชีย

        วัฒนธรรมการสัก  ในปัจจุบันชาวเอเชียเริ่มเปิดกว้างเรื่องของการจากกันมากขึ้นในหลายประเทศจนถูกมองว่าเป็นเรื่องสากลอย่างในตะวันตกไปแล้วและในเอเชียก็มีประวัติศาสตร์ของการสักอยู่มากมายที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของแต่ละชนชาติที่ยังคงมีการสักกันอยู่จนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการสักของญี่ปุ่น  หรือประวัติการสั่งของคนจีนรวมถึงประวัติการสักของคนอินเดียและประวัติการสั่งของคนไทย

         สำหรับประวัติการสักของคนญี่ปุ่นนั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนานนับพันปีโดยเฉพาะชาว ไอนุ ชนเผ่าดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ใช้การสักเพื่อแสดงออกถึงความเข้มแข็ง

ด้วยสัญลักษณ์ของรูปสัตว์ต่างๆซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจ ความว่องไวและกล้าหาญ  ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ทางการญี่ปุ่นได้ออกนโยบายให้อาชญากรทุกคนต้องถูกสัก เพื่อทำการตีตรา 

          ซึ่งการทำสัญลักษณ์การสักบนร่างกายของเหล่าอาชญากรนี่เองกลายมาเป็นที่มาของแก๊งยากูซ่าที่เราได้เคยได้ยินประวัติของคนญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน    ในตอนแรกการสมัครเป็นเพียงแค่การบ่งบอกว่าผู้ที่สักนั้นเคยผ่านการทำเรื่องไม่ดีมาเป็นอาชญากรหรือเป็นพวกนักเลงแต่หลังจากนั้นเหล่าบรรดาที่เรียกตนเองว่ายากุซ่า ก็ใช้การสักนี้เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อกลุ่มของตนเอง

          สำหรับในประเทศอินเดียมีความเชื่อและความหมายของการสักแตกต่างกันออกไปของแต่ละชุมชนต่างๆ ชุมชนชาวอินเดียบางแห่งเรียกการสักเป็นศิลปะบนเรือนร่างหรือเครื่องประดับที่ไม่สามารถขโมยได้  แต่บางชุมชนเชื่อว่าการจะเป็นการปกป้องหญิงสาวหรือบางแห่งผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็จะมีรอยสักที่หัวเข่าและข้อเท้าในขณะที่ผู้ชายมักจะไปที่มือ

         สำหรับในประวัติศาสตร์ของจีนพบการจากที่หลังของงักฮุย แม่ทัพของจีนที่นำทัพต่อต้านการรุกรานของกองทัพมองโกลในสมัยราชวงศ์ซ้องเป็นลายสักที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์จีน ซึ่งลายสักประกอบไปด้วยอักษรภาษาจีน 4 ตัวซึ่งแปลว่าตอบแทนชาติด้วยความซื่อสัตย์

        สำหรับชาวเอเชียอาคเนย์อย่างพม่าและมาเลเซียในช่วงต้นศตวรรษที่ 12 การสักจะนิยมในหมู่ผู้ชายเนื่องจากการสักเป็นเครื่องแสดงความเป็นลูกผู้ชายบ่งบอกถึงความอดทนและกล้าหาญและยังเป็นที่หมายปองของหญิงสาวอีกด้วย

         สำหรับการสักในประเทศไทย การสักที่โด่งดังไปทั่วโลกจนมีชาวต่างประเทศมากมายนิยมสักกัน  นั่นก็คือการสักยันต์ที่เป็นเสมือนเครื่องรางของขลังอย่างหนึ่งของนักรบในสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยมีความเชื่อว่าการสักยันต์นั้น มนตราอำนาจแห่งรอยสักจะช่วยคุ้มครองและป้องกันภยันตรายจากอาวุธทั้งปวงรวมไปถึงการเสริมอำนาจบารมีอีกด้วย 

 

สนับสนุนโดย.  ufabet เว็บแม่

ประวัติ ประเพณี วัฒนธรรม
อดีต-ปัจจุบัน